ในโลกยุคก่อนที่การปกครองระบอบโควิด-19 จะเข้ามายึดอำนาจ ธุรกิจการขายโชว์คอนเสิร์ตและเทศกาลดนตรีได้เฟื่องฟูถึงขีดสุด การจราจรของเหล่าศิลปินดังต่างคับคั่งราวกับห้าแยกลาดพร้าว บินเข้านอกออกในประเทศต่างๆ กันถี่ยิบแบบหัวชนหาง เคราะห์กรรมครานั้นได้ตกอยู่กับบรรดานักดูคอนเสิร์ตที่พยายามไปดูให้ได้ทุกงาน แม้กระทั่งบางเดือนที่มีคิวคอนเสิร์ตศิลปินต่างประเทศซ้อนกันถึง 3 งาน ราคาบัตรที่รวมแล้วแทบจะมากกว่ารายได้ทั้งเดือน จนเป็นที่มาของความคิดที่จะ ‘ขายไต’ เพื่อนำเงินมาซื้อบัตรชมคอนเสิร์ต เพราะไตเป็นอวัยวะที่หากขาดหายไปสักหนึ่งข้าง เจ้าของร่างกายนั้นก็ยังคงมีชีวิตอยู่ได้ด้วยไตอีกข้างที่เหลือ นั่นคือวิถีของการสละอวัยวะชิ้นหนึ่งของนักเสพดนตรี เพื่อให้ตนได้เป็นประจักษ์พยานในงานแสดงโชว์ของศิลปินที่ตนนิยมบูชา
แต่สำหรับตัวศิลปินแล้ว หากจะต้องแลกมาด้วยชื่อเสียงและความสำเร็จระดับโลก เพื่อให้ได้ขึ้นหิ้งเป็นตำนาน ไตเพียงหนึ่งข้างอาจจะไม่สมน้ำสมเนื้อมากพอต่อการแลกเปลี่ยน มันต้องเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น หรือยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่หนึ่งชีวิตศิลปินจะอุทิศให้ได้ ยิ่งใหญ่กว่าชิ้นส่วนใดๆ ของกายหยาบที่เสื่อมสลายได้ตามกาลเวลา เรื่องราวเล่าขานถึงการขาย ‘วิญญาณ’ ของศิลปินจึงเกิดขึ้น แต่ทว่า ไม่มีโรงพยาบาลหรือคลินิกเถื่อนที่ไหนรับซื้อวิญญาณ นอกจากตลาดมืดลี้ลับที่ประกอบการโดย ‘ปีศาจ’
มีกรณีเล่าขานถึงศิลปินระดับตำนานหลายรายที่เชื่อว่าพวกเขาได้ขายวิญญาณให้กับปีศาจ เพื่อแลกมาซึ่งอัจฉริยภาพทางดนตรีที่นำพาพวกเขาไปสู่ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ในที่สุด แต่เมื่อขึ้นชื่อว่าเป็น ‘ปีศาจ’ เรื่องราวของการแลกเปลี่ยนคงไม่ได้จบแบบปลื้มปริ่มจุดพลุปุ้งปั้งกลางปราสาทเหมือนการ์ตูนดิสนีย์แน่นอน หากแต่มันคือโศกนาฏกรรมที่จะเกิดกับศิลปินผู้นั้นเมื่อสัญญาได้หมดลง และบางรายถึงกับต้องแลกมาด้วยชีวิต
ย้อนรอยสนธิสัญญาปีศาจ
เรื่องเล่าเกี่ยวกับการขายวิญญาณให้กับปีศาจ เพื่อแลกกับความสามารถหรือความสำเร็จต่างๆ ตามปรารถนานั้นมีมายาวนานแล้ว เทียบเคียงกับการกำเนิดของคริสตจักร ซึ่งผู้ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับพระเจ้าก็คือปีศาจ โดยมีชื่อเรียกแตกต่างกันไปตามกาลบท เช่น ซาตาน, ลูซิเฟอร์ และเบลเซบัฟ ไม่เพียงเฉพาะในหมู่ศิลปินนักดนตรีเท่านั้นที่มีผู้เลือกเดินเส้นทางนี้ ยังมีผู้คนอีกมากมายหลายสาขาที่ใฝ่ฝันจะพาตัวเองไปสู่จุดสูงสุดของอาชีพด้วยการทำสัญญากับปีศาจ เช่น นักเขียน, พระสงฆ์, นายพล, นักเดินทาง ฯลฯ
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน เนื่องจากบทความนี้ได้ข้อมูลมาจากปีศาจ!? ไม่ใช่! จริงๆ แล้วได้ข้อมูลจากตำนานเล่าขานต่างๆ ที่ยังไม่เคยถูกพิสูจน์ด้วยกรรมวิธีทางวิทยาศาสตร์
นิกโกโล ปากานินี นักดนตรีมากความสามารถชาวอิตาเลียน ผู้เกิดในปี 1782 เป็นหนึ่งในบุคคลที่ถูกตั้งข้อสังเกตว่าอัจฉริยภาพของเขามีปีศาจร้ายอยู่เบื้องหลัง โดยที่มารดาของเขาเป็นผู้ตกลงขายวิญญาณของลูกชายให้กับซาตาน เพื่อให้เขาเติบโตมาเป็นนักดนตรีที่ยิ่งใหญ่ ปากานินีเริ่มเข้าสู่วงการนักดนตรีอาชีพได้ตั้งแต่อายุเพียง 12 ปี โดยมีเครื่องดนตรีเอกคือไวโอลิน และเมื่อถึงวัย 22 ปี เขาก็สามารถทำการแสดงดนตรีที่ใช้เทคนิคซับซ้อนได้อย่างน่าทึ่งเหนือมนุษย์ และด้วยลีลาการแสดงอันเก้งก้างออกท่าออกทางไม่เหมือนมนุษย์ บ้างก็มีคนบอกเล่าว่า เห็นเงาของซาตานยืนเคียงข้างปากานินีบนเวที เพื่อช่วยในการแสดง ด้วยข่าวลือนี้ทำให้เขาถูกมองเป็นบุคคลนอกรีต ประกอบกับการที่ตัวเขาเองเป็นบุคคลที่ไม่ได้ใส่ใจนับถือศาสนาอะไร ต่อมาเมื่อเขาจบชีวิตลง ร่างของเขาได้ถูกปฏิเสธในการทำพิธีฝังศพตามธรรมเนียมแบบคริสตชน ครอบครัวของเขาต้องเก็บร่างไร้วิญญาณไว้ในห้องใต้ดินอยู่หลายปี กว่าจะได้รับอนุญาตให้ประกอบพิธีทางศาสนาได้ในที่สุด
จูเซปเป ทาร์ตินี นักประพันธ์เพลงและนักไวโอลินชาวอิตาเลียน เป็นอีกหนึ่งคนที่มีเรื่องเล่าขานถึงความสัมพันธ์กับปีศาจ เมื่อคืนหนึ่งในปี 1713 ในขณะที่ทาร์ตินีนอนหลับ เขาได้ฝันเห็นปีศาจเข้ามาเยี่ยมเยือน และยื่นข้อเสนอว่าจะให้ความช่วยเหลือโดยแลกกับวิญญาณของเขา ทาร์ตินีตอบตกลง และยื่นไวโอลินให้กับปีศาจตนนั้น จากนั้นปีศาจก็เริ่มบรรเลงเพลงที่ไพเราะเหลือเชื่อให้เขาฟัง และเมื่อตื่นจากความฝัน ทาร์ตินีพยายามจดบันทึกโน้ตเพลงจากบทเพลงที่เขาจดจำจากในฝันนั้นให้ได้มากที่สุด จนออกมาเป็นผลงานมาสเตอร์พีซที่มีชื่อว่า ‘Devil’s Trill Sonata’ เป็นเพลงที่ประสบความสำเร็จและมีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในชีวิตนักประพันธ์เพลงของเขา แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ทาร์ตินีได้กล่าวว่า สิ่งที่เขาจดจำมาจากความฝันนั้นไม่ได้ครบถ้วนตามที่ได้ยินจากฝีมือของปีศาจทั้งหมดร้อยเปอร์เซ็นต์ ความไพเราะของบทเพลงนี้ยังห่างไกลจากต้นฉบับที่เขาได้รับฟังในฝันมากนัก
โรเบิร์ต จอห์นสัน ต้นฉบับตำนานนักค้าวิญญาณรุ่นใหม่
เรื่องราวเกี่ยวกับการขายวิญญาณให้กับปีศาจที่โด่งดังที่สุดในโลก เป็นเรื่องของ โรเบิร์ต จอห์นสัน นักดนตรีบลูส์ผิวสีจากรัฐมิสซิสซิปปี สหรัฐอเมริกา ในช่วงยุค 30 ความเชื่อที่ว่า โรเบิร์ตได้ขายวิญญาณให้กับปีศาจ เพื่อแลกมาด้วยอัจฉริยภาพทางดนตรี กลายเป็นต้นฉบับแนวคิดให้กับศิลปินรุ่นหลังอีกหลายคนที่เลือกเดินเส้นทางเดียวกับเขาจวบจนปัจจุบัน
เรื่องราวมีอยู่ว่า โรเบิร์ต จอห์นสัน เดิมทีเป็นมือกีตาร์ฝึกหัดที่โดนปรามาสว่าฝีมือไม่ได้เรื่อง จนถึงขั้นโดนไล่ลงจากเวทีในบาร์ท้องถิ่นแห่งหนึ่งมาแล้ว หลังจากวันนั้นเขาก็ได้หายตัวไปจากสังคม ไม่มีใครพบเจอ จนกระทั่งประมาณอีก 1 ปีให้หลัง เขาได้กลับมาที่บาร์แห่งเดิม พร้อมกับฝีมือกีตาร์ที่ยอดเยี่ยม จนทำให้ผู้คนตกตะลึงไปตามๆ กัน เพราะถึงแม้ว่าเขาจะใช้เวลาที่หายไปในการฝึกฝน แต่สิ่งที่เขาบรรเลงออกมานั้นยอดเยี่ยมเกินกว่าที่มนุษย์สักคนจะบรรลุได้ภายในเวลาเพียงแค่ 1 ปี จึงเป็นที่เล่าขานกันว่าในช่วงเวลาที่โรเบิร์ตหายไป เขาได้ไปที่สี่แยกแห่งหนึ่งในเวลาเที่ยงคืน เพื่อทำสัญญาค้าวิญญาณกับปีศาจ แลกกับฝีมือดนตรีที่เหนือชั้น เป็นที่มาของตำนาน ‘Crossroad’ สี่แยกที่นักดนตรีไปเพื่อตามหาปีศาจเพื่อขายวิญญาณเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ปรารถนา สอดคล้องกับความเชื่อของไทยอยู่เนืองๆ ที่ว่าตรงบริเวณทางแยกมักเป็นที่ที่วิญญาณชั่วร้ายมารวมตัวกัน
บทเพลงของโรเบิร์ตเต็มไปด้วยเนื้อหาที่อ้างอิงถึงปีศาจอยู่หลายเพลง ราวกับว่าเขาหมกมุ่นอยู่กับมัน มีการใช้ถ้อยคำตามวิถีของ ‘Hoodoo’ ซึ่งเป็นศาสตร์ลี้ลับที่สืบทอดมาจากเหล่าทาสผิวสีในอเมริกาในอดีต สิ่งนี้ยิ่งสนับสนุนความเชื่อว่าเขาได้ขายวิญญาณไปแล้วจริงๆ
บทเพลงของโรเบิร์ตมีอิทธิพลกับศิลปินรุ่นต่อๆ มาอย่างมาก เรียกว่าแต่ละคนได้หยิบเอาองค์ประกอบที่โรเบิร์ตสร้างสรรค์ขึ้นมาพัฒนาเป็นแนวทางของตัวเอง แตกแขนงไปหลากหลายทางทั่วโลก เพลงบลูส์ในสไตล์ของโรเบิร์ตได้ถูกนำมาพัฒนามาเป็นร็อกแอนด์โรลในยุค 50 ศิลปินยุคปัจจุบันที่ยกย่องโรเบิร์ตมีทั้ง เอริก แคลปตัน, บ็อบ ดีแลน, จอห์น เมเยอร์ และ คีธ ริชาร์ดส์ แห่งวง The Rolling Stones ที่ล้วนเป็นตำนานที่ยังมีลมหายใจทั้งสิ้น
หลักฐานแห่งตัวตนของโรเบิร์ตมีอยู่ไม่มาก มีเพลงที่ได้รับการบันทึกเสียงอยู่ 29 เพลง และรูปถ่ายเพียง 2 รูป ชีวิตส่วนตัวของโรเบิร์ตนั้นก็แสนจะอาภัพ จากคำบอกเล่าของผู้คนที่เคยรู้จักเขา โรเบิร์ตสูญเสียภรรยาคนแรกไปในการคลอดบุตร ซึ่งทางครอบครัวของภรรยาได้กล่าวโทษว่า เป็นความผิดของโรเบิร์ตที่เป็นนักดนตรีที่เล่นบทเพลงของปีศาจ (ดนตรีบลูส์ในสมัยนั้นถูกเรียกว่าเป็นเพลงนอกรีตที่เต็มไปด้วยตัวโน้ตอสูร)
ต่อมาความรักครั้งที่ 2 ของเขาก็ต้องจบลง เมื่อคนรักของเขาตั้งครรภ์ โดยทางครอบครัวของฝ่ายหญิงเป็นคริสตศาสนิกชนที่เคร่งครัด จึงห้ามไม่ให้โรเบิร์ตได้เข้าพบคนรักและลูกชายอีกตลอดชีวิต ความโดดเดี่ยวของโรเบิร์ตจึงนำพาตัวเองลงสู่ห้วงอบายมุขแห่งสุราและนารี และในที่สุดเขาก็ถูกวางยาพิษที่ถูกแอบใส่ลงไปในขวดวิสกี้ ซึ่งหาหลักฐานไม่ได้แน่ชัดว่าใครเป็นคนกระทำ โรเบิร์ตต้องทนทุกข์ทุรนทุรายอยู่ถึง 3 วัน 3 คืน จนเขาสิ้นชีวิตลงในที่สุดด้วยวัยเพียง 27 ปี เป็นที่รำ่ลือกันว่าเสียงกรีดร้องโหยหวนของโรเบิร์ตตลอด 3 วัน 3 คืน นั้นช่างน่ากลัวราวกับเสียงของปีศาจ หรือนั่นคือวันที่สัญญาปีศาจได้จบลงพร้อมกับสิ่งแลกเปลี่ยนที่มาทวงถาม นั่นคือการพรากวิญญาณไปจากร่างของโรเบิร์ตตลอดกาลในที่สุด
27 Club สมาคมชีวิตสั้น ศิลปะยืนยาว
การเสียชีวิตก่อนวัยอันควรของ โรเบิร์ต จอห์นสัน เป็นที่มาของทฤษฎีที่เรียกว่า ‘27 Club หรือตัวเลขอาถรรพ์ของสมาคมแห่งศิลปินอัจฉริยะที่ประสบความสำเร็จระดับโลกภายในระยะเวลาอันสั้น และมีอันต้องจบชีวิตเมื่ออายุ 27 ปี โดย โรเบิร์ต จอห์นสัน เป็นสมาชิกลำดับที่ 1 และหลังจากนั้นสมาชิกของ 27 Club ก็เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ ด้วยการเสียชีวิตของ ไบรอัน โจนส์ มือกีตาร์แห่ง The Rolling Stones จากการจมน้ำหลังเสพสุราพร้อมยาเสพติด, จิมมี่ เฮนดริกซ์ ตำนานไซคีเดลิกร็อก ที่ซัดยานอนหลับเกินขนาด, เจนิส จอปลิน ศิลปินบลูส์-โซล ผู้โอเวอร์โดสเฮโรอีน, จิม มอร์ริสัน นักร้องนำวง The Doors จากอาการหัวใจล้มเหลว, เคิร์ต โคเบน แห่งวง Nirvana ตำนานเพลงกรันจ์ผู้ตัดสินใจฆ่าตัวตาย และ เอมี ไวน์เฮาส์ ศิลปินดาวรุ่งที่ดื่มแอลกอฮอล์เกินขนาด
ยังมีสมาชิกของ Club 27 อีกมากมายที่ไม่ได้กล่าวถึง ณ ที่นี้ มีการตั้งข้อสงสัยว่า หรือศิลปินเหล่านี้ได้ขายวิญญาณให้กับปีศาจเช่นเดียวกับ โรเบิร์ต จอห์นสัน? แต่อย่างไรก็ตาม ไม่มีหลักฐานหรือคำบอกเล่าใดๆ จากคนใกล้ชิดว่าพวกเขาได้ทำสิ่งนั้น แต่ที่เห็นได้ชัดเจนคือ พวกเขาเหล่านั้นล้วนใช้ชีวิตอย่างผาดโผนบนเส้นด้ายที่พร้อมจะขาดผึงตลอดเวลา และด้วยความบังเอิญที่น่าประหลาดใจคือ เส้นด้ายของคนเหล่านั้นได้ขาดพร้อมกันในวัย 27 ปีอย่างน่าฉงน
อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนจดจำได้แม่นยำคือ เมื่อครั้งที่วันเกิดครบรอบอายุ 28 ปีของตนเดินทางมาถึงโดยสวัสดิภาพ วันนั้นเองที่เราได้ตระหนักว่า… นี่เราหมดโอกาสที่จะเป็นศิลปินอัจฉริยะแล้วนี่นา โถ่โว้ย!
Led Zeppelin กับคีตาอาถรรพ์
วงร็อกในตำนานจากยุค 70 อย่าง Led Zeppelin ก็มีเรื่องเล่าถึงความสัมพันธ์กับปีศาจเช่นกัน โดยประเด็นเพ่งไปที่มือกีตาร์คนเก่งอย่าง จิมมี เพจ ผู้ซึ่งยอมรับว่าเขาเคยสนใจใคร่รู้ในศาสตร์ลี้ลับและคาถามนตร์ดำ ถึงขั้นเคยเข้าร่วมพิธีชุมนุมบวงสรวงปีศาจตามความเชื่อของลัทธิหนึ่งมาแล้ว และเป็นแฟนบอยตัวจริงของ อเลสเตอร์ ครอว์ลีย์ จอมขมังเวทย์ชื่อดังชาวอังกฤษที่มีชีวิตอยู่ในช่วงปี 1875-1947 ผู้เป็นเจ้าลัทธิปีศาจผู้มีสาวกจำนวนหนึ่ง ภาพของครอว์ลีย์ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของลัทธิปีศาจในภายหลังจากที่เขาได้เสียชีวิตลงไปแล้ว โดยเฉพาะในช่วงยุค 60-70 ที่เต็มไปด้วยบุปผาชน
จิมมี เพจ ได้ซื้อบ้านผีสิงของครอว์ลีย์ในสกอตแลนด์ไว้ครอบครองเป็นของตนเอง และยังใช้เงินส่วนตัวมหาศาลกับการประมูลซื้อวัตถุที่มีประวัติเป็นเครื่องประกอบพิธีกรรมปีศาจ เก็บสะสมเป็นคอลเล็กชันส่วนตัวมากมายไม่แพ้จำนวนกีตาร์ที่เขามี ด้วยเหตุนี้จิมมีและวง Led Zeppelin ของเขาจึงถูกนำมาร่ำลือเชื่อมโยงกับเรื่องราวเกี่ยวกับซาตานอยู่ไม่น้อย โดยเรื่องที่โด่งดังที่สุดคือ ความเชื่อที่ว่าเพลงที่ประสบความสำเร็จสูงสุดอย่าง Stairways to Heaven นั้น หากนำมาเล่นย้อนหลัง จะได้ยินข้อความที่ซ่อนอยู่จากซานตาน!
อย่างไรก็ตาม โรเบิร์ต แพลนต์ นักร้องนำของวง ได้ให้ความเห็นว่า “ใครจะบ้าคิดที่จะทำเพลงแบบนั้นล่ะ และศิลปินหน้าไหนก็ตามที่คิดว่าผู้คนจะเอาแผ่นเสียงมาเล่นกลับหลัง มันต้องเป็นพวกที่ว่างมากแน่ๆ” ส่วน จิมมี เพจ ได้กล่าวว่า “การเขียนเพลงให้ฟังไปข้างหน้าตามปกติมันก็ยากมากพอแล้วนะ ใครมันจะไปคิดให้มันสามารถฟังแบบกลับหลังได้”
ด้วยความที่สมัยก่อนการเอาแผ่นเสียงมาเล่นกลับหลังเป็นความคิดที่อุตริสุดๆ นอกจากจะต้องลากแผ่นไปในทิศทางที่ฝืนธรรมชาติแล้ว ยังเสี่ยงต่อการทำให้แผ่นเป็นรอยและเสียหายในที่สุดอีกต่างหาก แต่ในยุคปัจจุบันเราสามารถใช้ซอฟต์แวร์เล่นไฟล์เสียงแบบกลับหลังได้ง่ายๆ เพียงปลายนิ้วคลิก จึงมีคนทดลองทำเพื่อพิสูจน์เรื่องนี้กับเพลง Stairways to Heaven อีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ปกติวิสัยของคนเราคือ เราจะพยายามที่จะได้ยินในสิ่งที่เราอยากจะได้ยินเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว หรือหูหาเรื่องนั่นเอง เสียงประหลาดที่ได้จากการเล่นกลับหลังก็ยังมีคนอุตส่าห์ตีความออกมาเป็นคำได้อย่างเป็นตุเป็นตะ ลองฟังดูจากคลิปข้างล่าง เราจะได้ความรู้ใหม่ว่า ซาตานพูดภาษาอังกฤษได้อย่างกระท่อนกระแท่น เว้นวรรคภาษาได้อย่างวิบัติ และคงสับสนในตัวเองมากๆ ที่พูดจาอะไรวกวนเหมือนคนดมกาว ทั้งๆ ที่ได้โอกาสทองที่จะสื่อสารกับมนุษย์แล้ว นี่คงเป็นสาเหตุที่ความชั่วร้ายทั้งปวงยังดำรงอยู่ในโลกมนุษย์ เพราะเพลิงพิโรธของซาตานที่มีต่อมนุษย์เขลา ที่บังอาจคิดว่าเขาจะส่งข้อความที่ฟังดูงี่เง่า ไม่สมเกียรติราชาแห่งปีศาจผู้ทรงเล่ห์เหลี่ยมเอาเสียเลย
หากกล่าวถึงชะตากรรมของวง Led Zeppelin ที่ถึงแม้จะประสบความสำเร็จระดับโลก แต่ก็ถือว่าเป็นวงที่ผ่านความทุกข์ยากมาไม่น้อยเลย นับจากการจากไปของลูกชายวัย 5 ขวบของ โรเบิร์ต แพลนต์ (นักร้องนำ) ด้วยโรคไวรัสในกระเพาะอาหารในปี 1977 ตามมาติดๆ ด้วยการเสียชีวิตของ จอห์น บอนแฮม มือกลองของวง จากการดื่มแอลกอฮอล์เกินขนาดในปี 1980 นับเป็นการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ของวงการร็อกแอนด์โรล เนื่องจากฝีมือ, สำเนียง, และพลังการตีกลองของบอนแฮมนั้นจนปัจจุบันก็ยังหาใครเทียบไม่ได้ เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ทาง Led Zeppelin ตัดสินใจยุบวงในที่สุด เป็นการปิดตำนานที่มีผู้คนเชื่อว่าโศกนาฏกรรมที่เกิดกับวงนั้นเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนของซาตาน
จอห์น เลนนอน ก็ขาย?
คงไม่มีผู้ใดกังขาว่าวงดนตรีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในศตวรรษที่ 20 คือคณะ The Beatles จากเกาะอังกฤษ และถึงแม้ทุกวันนี้เราจะก้าวเข้ามาถึง 1 ใน 5 ของศตวรรษที่ 21 แล้ว แต่ก็ยังไม่มีใครสามารถสร้างตำนานได้ยิ่งใหญ่เทียบเคียงกับตำนานของสี่เต่าทองได้เลย
จอห์น เลนนอน สมาชิกผู้เป็นกระบอกเสียงของวง ได้เคยเปิดเผยกับสื่อมวลชนว่า ความสำเร็จของ The Beatles นั้นได้มาเพราะตัวเขาเองได้ขายวิญญาณให้ปีศาจไปเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน จะจริงเท็จอย่างไรเราก็ไม่อาจปลุกผีคุณจอห์นขึ้นมาถามได้ แต่อย่างไรก็ตาม จอห์นได้เคยชักชวนให้เพื่อนๆ ร่วมวงหันมาสนใจศึกษาชีวิตและผลงานของ อเลสเตอร์ ครอว์ลีย์ จอมเวทย์ดำเจ้าเดิมอันเป็นไอดอลของ จิมมี เพจ แห่ง Led Zeppelin ผลที่เห็นได้เป็นรูปธรรมคือ ในอัลบั้มชุดตำนานอย่าง Sgt. Paper’s Lonely Hearts Club Band ในปี 1967 มีรูปภาพของ อเลสเตอร์ ครอว์ลีย์ ร่วมอยู่บนปกอัลบั้มด้วย
ในหนังสืออัตชีวประวัติของ จอห์น เลนนอน ที่ชื่อ The Lennon Prophecy ตอนหนึ่งได้มีการกล่าวถึงการทำสัญญากับปีศาจของจอห์น เพื่อแลกกับการมีชื่อเสียงก้องโลก และได้อธิบายเป็นนัยว่า สัญญาฉบับนี้มีอายุ 20 ปี จนกระทั่งวันที่ 8 ธันวาคม 1980 ที่จอห์นโดนสังหารโดยแฟนคลับผู้มีปัญหาทางจิต เป็นอันสิ้นสุดสัญญาปีศาจไปพร้อมกับชีวิตของเขาในที่สุด
บ็อบ ดีแลน ตกลงลุงขายหรือไม่ขาย
ถ้าจะไม่กล่าวถึงกวีเฒ่าคนนี้ก็เกรงว่าจะโดนหาว่าตกสำรวจ บ็อบ ดีแลน เป็นศิลปินที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในยุค 60-70 ด้วยบทเพลงเพื่อชีวิตที่อาบไปด้วยปรัชญาคำคมยิ่งกว่ามีดหมอศัลยกรรมเกาหลี ขวัญใจชาวฮิปปี้ผู้หาที่พักใจ เรื่องราวมีอยู่ว่า ในปี 2004 บ็อบได้ให้สัมภาษณ์กับสื่ออย่างกำกวมถึงความสำเร็จในอาชีพศิลปินของเขาว่าเป็นเพราะเขาได้ทำข้อตกลงไว้กับใครคนหนึ่ง และนี่คือส่วนหนึ่งจากบทสัมภาษณ์
ผู้สัมภาษณ์: ข้อตกลงของคุณคืออะไร
บ็อบ: ก็เพื่อให้ผมได้มายืนอยู่ตรงจุดนี้ไงล่ะ
ผู้สัมภาษณ์: ถ้าอย่างนั้นขอถามได้ไหมว่าคุณได้ทำข้อตกลงกับใคร
บ็อบ: กับผู้บัญชาการสูงสุดไงล่ะ
ผู้สัมภาษณ์: ในโลกนี้เหรอ
บ็อบ: ในโลกนี้และในโลกที่เรามองไม่เห็น…
ผู้สัมภาษณ์: …
บทสัมภาษณ์นี้ถูกนำไปตีความอย่างหลากหลาย น่าจะเข้าทางลุงบ็อบเขาล่ะ เพราะเขามีนิสัยชอบให้สัมภาษณ์ด้วยสำนวนปลายเปิดให้สื่อมวลชนได้ปั่นป่วนเล่นๆ มาแต่ไหนแต่ไร หรือว่าเขาได้ทำสัญญาปีศาจจริงๆ เพราะหลายๆ เพลงของเขามีลักษณะคล้ายบทกวีไร้สัมผัสร้างทำนองที่เอาไปวางแหมะเฉยๆ ไว้บนดนตรี ราวกับเอาโพสต์อิทไปแปะไว้ที่ลำโพง แต่ก็นำพาชื่อเสียงมาให้เขาได้มากล้นเหลือเชื่อ ประกอบกับรูปลักษณ์อันหล่อเหลา และมาดเต๊ะจุ๊ยคารมคมคายประหนึ่งว่าตนเป็นขงจื๊อแห่งวงการร็อกแอนด์โรล สามารถซื้อใจหนุ่มสาวชาวบุปผาชนไปได้ไม่น้อยเลยทีเดียว อย่างไรก็ตาม รสนิยมทางดนตรีเป็นเรื่องนานาจิตตัง มีหลายคนยอมรับในความสามารถทางดนตรีของบ็อบอย่างไร้ข้อกังขา ในขณะที่อีกหลายคนก็เชื่อว่าบ็อบได้โผล่มาในจังหวะเวลาที่เข้าทาง บทกวี ฮิปปี้ การเรียกร้องสันติภาพ บ็อบได้นำเสนอทุกสิ่งที่เป็นประเด็นที่สังคมสมัยนั้นให้ความสนใจ ใครจะชอบหรือไม่ก็จงได้โปรดตัดสินด้วยการฟังด้วยหูของตนเองโดยไม่ต้องมีผู้ใดชี้นำเถิด
เรื่องเล่าลี้ลับมีอยู่ทุกท้องที่ในโลก อาจจะต่างกันไปบ้างตามวัฒนธรรมพื้นถิ่น ฝั่งบ้านเราอาจไม่นิยมการทำธุรกิจกับปีศาจให้ยุ่งยาก เพราะขอตัวเลขตรงๆ ง่ายกว่าเยอะ จะว่าไปแล้วจากเรื่องราวต่างๆ ข้างต้น หากพิจารณาให้แยบคาย ในช่วงเวลาแห่งกลียุคเยี่ยงตอนนี้เราน่าจะมองเห็นแง่มุมอะไรดีๆ จาก ‘ปีศาจ’ ได้บ้าง ถึงแม้ด้วยนิยามจะฟังดูชั่วร้าย แต่เมื่อมันคือการทำ ‘สัญญา’ แสดงว่ามันเป็นสิ่งที่คู่ค้าสมยอมที่จะแลกเปลี่ยน และปีศาจก็มอบให้จริงๆ และมีสิ่งแลกเปลี่ยนจริงในทุกกรณี นี่คือ ‘สัจจะ’ ที่หาได้ยากในหมู่มนุษย์ บางคนสัญญาว่าจะอยู่เคียงข้างเราไปตลอดชีวิต แต่สุดท้ายก็จากไปในเวลาไม่ถึงเศษเสี้ยวของหนึ่งชีวิต หรือคนอีกจำพวกหนึ่งที่แบกเอาเกียรติยศประดับอาภรณ์อันรุงรัง มาสัญญาว่าจะอยู่กับเราไม่นาน แต่สุดท้ายก็ทำทุกวิถีทางที่จะอยู่สูบเลือดสูบเนื้ออันโอชาของเราต่อไปเรื่อยๆ อย่างไร้ยางอาย โดยไม่มีสิ่งดีๆ มาแลกเปลี่ยนเหมือนกับที่ปีศาจให้ เพราะฉะนั้นจงอย่าได้เปรียบคนเหล่านี้กับปีศาจให้แปดเปื้อนสถาบันอสูรเลย เพียงแค่เห็นว่ามีสองเขา แต่โปรดอย่าเหมาว่าเป็นปีศาจ ความฉลาดเจ้าเล่ห์ของปีศาจมิอาจนำมาเปรียบเทียบกับความหน้าด้านไร้เกียรติของกาสรไม้ใกล้ฝั่งที่ยังฝืนยื้อเวลาให้ตนลอยเท้งเต้งกลางธาราอย่างไร้ประโยชน์ หรือเราควรหันไปพึ่งปีศาจให้ช่วยถมดิน ต่อชายฝั่งให้ทอดยาวไปถึงกาสรไม้ท่อนนั้นเองให้มันจบๆ ไป
ว่าแต่ว่าใครจะกล้าเป็นผู้อาสาทำสัญญาฉบับนี้กับปีศาจล่ะ? มันเป็นการทดสอบความแฟร์ของเจ้าปีศาจด้วยนะว่าจะยอมเป็นคู่ค้าหรือไม่ เพราะถึงแม้ว่าจะต้องแลกด้วยวิญญาณ แต่ผู้ขายคนนั้นจะกลายเป็นฮีโร่ผู้เสียสละจารึกไว้ในประวัติศาสตร์มิรู้ลืมเลยทีเดียว ได้มากกว่าเสียแบบนี้เจ้าปีศาจจะยอมเหรอ?
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล
อ้างอิง:
August 11, 2020 at 09:25AM
https://ift.tt/3ky1Wyi
ตำนานแห่งศิลปินผู้ขายวิญญาณให้กับปีศาจ - thestandard.co
https://ift.tt/2Y7JTEM
Bagikan Berita Ini
0 Response to "ตำนานแห่งศิลปินผู้ขายวิญญาณให้กับปีศาจ - thestandard.co"
Post a Comment